ในโพสที่แล้วเราก็ได้เรียนรู้กันไปแล้วนะคะว่า Crypto Currency นั้น จะต้องถูกจัดประเภทเป็น สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เงินสด หรือ เงินลงทุน แต่อย่างใด ดังนั้น Crypto Currency จึงตกอยู่ภายใต้มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 38 หรือ TAS 38 นั่นเองค่ะ

TAS 38 ระบุว่าการเพิ่มขึ้นจากการตีราคาสินทรัพย์ไม่มีตัวตน ควรรับรู้ในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (OCI) และ เก็บสะสมอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) อย่างไรก็ตาม หากสินทรัพย์นั้นได้ตีราคาใหม่ และกิจการได้รับรู้มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ลดลงเป็นค่าใช้จ่ายในงวดก่อนแล้ว ส่วนที่เพิ่มจากการตีราคาใหม่นี้ต้องรับรู้ในกำไรหรือขาดทุนเพื่อกลับรายการในจำนวนที่ไม่เกินมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ลดลงของสินทรัพย์รายการเดียวกันที่ได้รับรู้ในกำไรหรือขาดทุนในงวดก่อน 

โดยปกติแล้ว สินทรัพย์ไม่มีตัวตนมักจะไม่ได้มีตลาดที่ซื้อได้ขายคล่องรองรับ แต่ในการณีของ Crypto Currency นั้นต่างกันไป เนื่องจากมักจะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดที่ซื้อง่ายขายคล่อง ดังนั้น กิจการอาจพิจารณาใช้วิธีการตีราคาสำหรับสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่เป็น Crypto Currency ได้

การวัดมูลค่ายุติธรรม

ในกรณีที่ใช้วิธีการตีราคาใหม่ กิจการจะต้องใช้ TFRS 13 การวัดมูลค่ายุติธรรม เพื่อกำหนดมูลค่ายุติธรรมของ Crypto Currency 

TFRS 13 ได้ให้คำจำกัดความของ ตลาดที่มีสภาพคล่อง หรือ active market ไว้ กิจการจะต้องพิจารณาว่ามีตลาดดังกล่าวสำหรับ Crypto Currency ที่ถืออยู่หรือไม่ ในกรณีนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าตลาดดังกล่าวมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในกระดาน binance หรือที่ไทยเรากระดานที่มีผู้ใช้เยอะเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ bitkub นั่นเองค่ะ ราคาตลาดที่เสนอในกระดานซื้อขาย ก็แสดงว่าสามารถวัดมูลค่ายุติธรรมของ cryptocurrency ได้อย่างน่าเชื่อถือด้วย

การกำหนดอายุการให้ประโยชน์

กิจการจะต้องประเมินด้วยว่า Crypto Currency นั้นมีอายุการใช้งานที่จำกัด หรือ ไม่มีจำกัด 

หากกิจการมองว่าระยะเวลาที่สินทรัพย์นั้น จะทำให้กิจการได้รับกระแสเงินสดเพิ่มมากขึ้น เป็นระยะเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด 

ดังนั้น cryptocurrency ก็สามารถมองได้ว่าเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ไม่มีอายุการให้ประโยชน์ที่แน่นอน (ไม่จำกัดอายุ)

ตาม TAS 38 กิจการไม่ต้องตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่มีอายุการให้ประโยชน์ไม่แน่นอน แต่ต้องทำการทดสอบการด้อยค่าเป็นประจำทุกปี